เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ ก.ค. ๒๕๔๖

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๖
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาว่าธรรมะ เห็นไหม คนเราเกิดมาเป็นทางอันใหญ่ สายทางอันธรรมชาติของเขาๆ ต้องเป็นไปตามสายทางนั้น เกินเลยล่ะ บอกว่า พระพุทธเจ้าสอนไว้ อะทาสิ เม อะกาสิ เม เวลาสวดศพนะ สวดกันว่าจงทำความดีส่งถึงกัน อย่าร้องไห้ อย่าร่ำรำพันเพราะมันไม่เป็นประโยชน์

แต่เดิมเรามา เราตื่นกัน เห็นไหม คนโบราณเคารพภูเขา เคารพไฟ เคารพพระอาทิตย์ สิ่งนั้นไม่เป็นที่พึ่งหรอก ให้ทำคุณงามความดีส่งถึงกัน แล้วมันถึงกันถึงที่ใจ เพราะใจเราคิดถึง ไอ้ความคิดเรานี่ถึงกันเลย ความคิดถึงของใจ ใจมันจะส่งถึงกัน

แม้แต่เราปฏิบัติอยู่ เห็นไหม ถ้าเราทำคุณงามความดี เราทำความสงบของใจ เทวดาเขาอยากได้บุญกับเรานะ เขาจะปกครอง เขาจะคุ้มครองเรา แต่ถ้าเราคิดไม่ดีเทวดาเขารู้ เทวดาของเราเทวดารู้ใจเพราะเขาเป็นภพของใจไง เขามีแต่ความรู้สึกเฉยๆ ความรู้สึกอันนี้มันเห็นกัน เหมือนเรานี่ เราเห็นร่างกายกัน เราเห็นร่างกายแล้วร่างกายคิดนี่ คนสวยคนงาม คนทุกข์คนยาก จะมองเห็นกัน เทวดาเขาก็เห็นอย่างนั้น แล้วเวลาเราส่งกุศลกันเราอุทิศกุศลไปทำไมถึงจะไม่ได้ ถึงอุทิศไปเขาไม่รับ เขารู้อยู่เขาไม่รับ

ดูอย่างพระนาคิตะ เห็นไหม เดินจงกรมอยู่ในป่าแล้วมีความทุกข์ เขามีงานมโหรสพเขาไปเที่ยวกัน มันมีความทุกข์ใจนะ ทำไมเรามาเดินจงกรมอยู่ในป่า ทำไมเรามาทุกข์อยู่คนเดียว ทำไมคนอื่นเขามีความสุข เห็นไหม พระนาคิตะวิตกวิจารณ์ขึ้นมา เทวดามาหยุดกลางอากาศ อยู่ในพระไตรปิฎกนะ เทวดาลอยมากลางอากาศ อยู่กลางอากาศเลย ผู้ที่เขาไปสนุกครึกครื้นกันนั้น เขาอยู่ในวัฏฏะ เขาวนอยู่บนโลก เห็นไหม มันก็ต้องวนไปที่สุด มันก็ต้องไปตายเหมือนกัน แต่เขาจะได้อะไรติดไม้ติดมือไป แต่พระนาคิตะเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินี่มันจะได้ผลประโยชน์

พระนาคิตะ เห็นไหม จิตมันพลิกขึ้นมาเลย แต่เดิมน้อยเนื้อต่ำใจ มันไม่มีกำลังใจนะ มันท้อถอย มันแย่เลย มันคิดถึงแต่ว่าเขามีความสุข เรามีความทุกข์ คนเราถ้าคิดถึงว่าเรามีความทุกข์ เราแย่กว่าเขา มันจะมีความอ่อนแอในหัวใจ แต่ถ้าเรามีกำลังใจขึ้นมามันพลิก พอพลิกขึ้นมาคืนนั้นพระนาคิตะสิ้นเป็นพระอรหันต์เลย เพราะเดินจงกรมพิจารณาไป พิจารณาไอ้ความรู้สึกของเรามันแปรสภาพต่อหน้า เห็นไหม มันแปรสภาพขึ้นมาต่อหน้าเลย แต่เดิมน้อยเนื้อต่ำใจในสถานะของเรานี่น้อยเนื้อต่ำใจ เป็นคนทุกข์คนเข็ญใจ เห็นไหม

นี่อยู่ในป่าในเขาเป็นคนทุกข์คนเข็ญใจอย่างไร พระอยู่ในป่าในเขามันตัดจากรูป รสกลิ่นเสียงทั้งหมด มันคิดมาถึงเรา เราอยู่ในสังคมมันจะเพลินไปไหนในสังคม มีการช่วยเหลือกัน แต่เราเข้าไปอยู่ในป่า ความคิดของเรามันจะคิดกลัวสิ่งต่างๆ มันจะวิตกวิจารณ์ทั้งหมดเลย มันจะย้อนกลับเข้ามา เห็นไหม แล้วมันคิดมันปรุงขึ้นมา เรื่องอะไรมันจะปรุงขึ้นมา มันเห็นสภาวะแบบนี้ไง แล้วมันแก้ไขตรงนี้ไง แก้ไขความคิดของเราแล้วมันพลิกกลับ เห็นความที่ว่ามันน้อยเนื้อต่ำใจ แล้วมันพลิกกลับมาเป็นกำลังใจขึ้นมา พอกำลังใจขึ้นมานี่พิจารณาเข้าไป วิปัสสนาเข้าไป มันเห็นความเปลี่ยนแปลง สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีเกิดขึ้นเป็นธรรมดา มันดับไปธรรมดา มันดับต่อหน้า จากความน้อยเนื้อต่ำใจ พลิกดับไปจนมีความฮึกเหิมขึ้นมา แล้วความฮึกเหิมขึ้นมาก็ขึ้นมาชำระกิเลส จนสิ้นออกไปจากกิเลส เห็นไหม

แล้วอาจารย์มหาบัวท่านบอกว่า พระนาคิตะกับเทวดานั้นต้องเป็นญาติเป็นมิตรกัน เคยเป็นญาติเป็นมิตรกัน เคยเป็นสายเลือดกันมา ถึงมาชี้นำบอกช่องทาง บอกช่องทางเพราะมีความเป็นญาติกันเกี่ยวพันกันมา เราทำบุญกุศล เกี่ยวกับเครือญาติมันไปตามกระแสกรรม เครือญาติมันถึงกันเราจึงอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลถึงนี้ได้ไง มันจะเป็นไปตามกระแสของใจ ใจมันเกี่ยวพันกันไป ถ้าไม่ใช่เครือญาติกัน ไม่เคยทำคุณงามความดีต่อกัน จะไม่ฟังกันจะไม่สนใจกันหรอก เขาทุกข์ก็เรื่องของเขา ลูกหลานเราเวลาทุกข์จนเข็ญใจเราก็ต้องช่วยเหลือ ถ้าเขาไม่ใช่ลูกหลานเรา เราก็มีความเมตตา แต่เขาไม่ใช่ลูกหลานเรามันก็เฉยไป แล้วแต่มีเมตตาขึ้นมา ใจเป็นธรรมขึ้นมาจะให้เขา นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

องค์สมเด็พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา วางธรรมไว้เป็นธรรม เห็นไหม นี่รื้อสัตว์ขนสัตว์ทั่วโลกทั่วสงสารเลย จะใครก็รื้อสัตว์ขนสัตว์ ขอให้เล็งญาณแล้วเห็นว่าเข้าข่าย เข้าข่ายคือหัวใจไง ถ้าหัวใจปิดหัวใจไม่สนใจ เห็นไหม มันมืด มันไม่เข้าใจ มันไม่ยอมรับ ถ้าไม่ยอมรับคนสอนเท่าไรมันก็ไม่ฟังหรอก

แต่ถ้าหัวใจมันเปิดขึ้นมา เห็นไหม นางปฏาจาราตามสามีไป แล้วคิดถึงพ่อไง กลับมาเอาลูกมาด้วย เห็นไหม นกคาบไปคนหนึ่ง น้ำพัดไปคนหนึ่ง ลูกเสียไป สุดท้ายก็เสียใจกลับไปหาพ่อ คืนนั้นฝนตกมาก ฟ้าผ่าพ่อตายหมดเลย นั่นน่ะ เสียทั้งลูกเสียทั้งพ่อ เสียทั้งแม่ จนเสียสติไปเลย นี่ไปหาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวิ่งไปนะ องค์สมเด็จพระสัมมาพุทธเจ้าบอกว่า “ปฏาจาราเธอคิดอย่างไร สติเสียไปอย่างไร” ให้ผ้านุ่ง เห็นไหม เปลื้องผ้าเปลื้องผ่อนเป็นคนเสียสติไปเลย พอเตือนขึ้นมาได้กลับเข้ามา กลับเข้ามาถึงมาประพฤติปฏิบัติ มาภาวนา มาวิปัสสนาเทียนไง เห็นเทียนมันโดนไฟเผา พอไฟเผาเทียนมันละลายไปๆ พิจารณาเทียนอย่างนั้นจนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา เห็นไหม

แต่ต้องเวลามันทุกข์ยาก เวลามันจะเปลี่ยนจากความเห็นอันหนึ่งเป็นความเห็นอันหนึ่ง จากติดข้องไปนี่จะกลับมาหาพ่อจะกลับมาหาแม่ กลับมาหาพ่อแม่ฟ้าก็ผ่าตาย เสียทั้งลูก เห็นไหม ความสะเทือนใจมันสะเทือนใจขนาดไหน จนเสียสติไปเลย แล้วชักกลับมา นี่เวลาใจมันเปิดมันเปิดอย่างนี้ มันเปิดว่ามันพลิกไป มันเปลี่ยนความเห็นของเราไป ถ้าความเห็นของเราเปลี่ยนไปน่ะ มันจะเปิดใจขึ้นมา แล้วมันจะฟังสิ่งนี้ ใจของเราคิด มันไม่ถึงเวลาเราถึงต้องค่อยๆ ไป อำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน ถ้าคนมีอำนาจวาสนา

เริ่มต้นจากเรา เราเกิดในประเทศอันสมควร แล้วเราได้นะเป็นมงคล เห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง การประพฤติปฏิบัติธรรมของเราเป็นมงคลอย่างยิ่ง ธมฺมสากจฺฉา เวลามีธรรมในหัวใจ พูดธรรมะกันด้วยเหตุด้วยผล มันจะฟังกันด้วยเหตุด้วยผล เห็นไหม แต่ถ้าเวลาคุยธรรมะกันแล้วไม่พูดด้วยเหตุด้วยผล มันไม่มีประโยชน์หรอก เราไม่ฟังกันเพราะมันพูดด้วยทิฏฐิมานะ สิ่งที่เป็นทิฏฐิมานะความเห็นผิด เห็นไหม นี่ความเห็นผิดของเราทำให้เราตั้งต้นผิด เป้าหมายผิด เข็มทิศชี้ไปทางที่ผิด เราจะเดินไปทางไหน ความเห็นของเราเป็นความเห็นที่ผิด

ความเห็นที่ผิดเพราะอะไร เพราะมันมีกิเลสอยู่ในใจของเรา เราถึงต้องพยายามทำความสงบของใจของเราขึ้นมา เพื่อที่จะให้เป็นกลางก่อนไง เป็นกลางเพื่อที่จะให้เข็มทิศมันชี้ไปทางไหน ถ้าชี้ไปในทางที่ถูก วิปัสสนามันจะเข้าร่องเข้ารอย ถ้าวิปัสสนาชี้ไปในทางที่ผิด เห็นไหม

วิปัสสนาเหมือนกัน มันปล่อย มันปล่อยเหมือนกัน ปล่อยเป็นสัญญาอารมณ์อันใหม่ก็ได้ ปล่อยเป็นความว่างก็ได้ การปล่อยของใจเพราะเราไม่เคยเข้าถึงธรรม เราไม่เคยเห็นธรรม สภาวะนั้นมันต้องตรวจสอบ ทดสอบใจตลอดเวลาไง ใจของเราจะเป็นสภาวะแบบนั้นเป็นความจริงไหม? สิ่งที่เป็นความจริง มันมีความสุขแล้วมันปล่อยวางสิ่งใดออกไป นี่ปัญญามันชำระ เห็นไหม

คำว่าชำระชะล้างกิเลสออกไปจากใจ มันต้องมีสังโยชน์ขาดออกไป มันต้องปล่อยวางอย่างนั้น ถ้าสังโยชน์ไม่ขาดมันเป็นการฝึกซ้อม สิ่งที่ฝึกซ้อมนี่การจะออกรบ เห็นไหม เขาต้องเตรียมเสบียงอาหาร เขาต้องเตรียมกำลังพล นี้ก็เหมือนกัน เราเตรียมของเราขึ้นมา ถ้ามันมีกำลังพล เสบียงอาหารพร้อมขึ้นมา ย้อนกลับเข้าไป สงครามธาตุสงครามขันธ์ใหญ่โตมากนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก คนเราเกิดมานั่งบนกองกระดูก ตายบนกองกระดูก แผ่นดินนี้เวลาตายไป ร่างกายของเรานี้แปรสภาพกลับไปเป็นดิน เป็นสภาวะเดิมของเขา แล้วมันการเกิดตาย เวียนเกิดเวียนตายนี่ ซับสมขึ้นมาจนมันแปรสภาพเป็นธาตุ ๔ เห็นไหม กายเราก็เป็นธาตุ ๔ เราถึงเกิดมาแล้วนั่งบนกองกระดูกของเรา กองเนื้อกองเราที่มันแปรสภาพ เราเกิดมาบนกองกระดูก นั่งบนกองกระดูก แล้วเวลาเราจะชำระสิ่งนี้ ความรบ เห็นไหม รบกับกิเลส ถึงว่ามันเป็นความรบที่ยิ่งใหญ่ รบกับกิเลส สงครามธาตุสงครามขันธ์มันถึงยิ่งใหญ่มาก การรบกับกิเลสนี่

มันชนะ เวลามันชนะขึ้นมา เห็นไหม โลกธาตุหวั่นไหวนะ โลกธาตุนี้เลือนลั่นเลยครืนๆ เลย สงครามเขารบกันเขาแพ้ชนะกันมันก็สงคราชนะกันด้วยอาวุธเท่านั้นเอง แต่นี้สงครามมันทำลายภพทำลายชาติ ชาตินี้สะเทือนในหัวใจ มันจะปล่อยวาง เห็นไหม แล้วมันจะเห็นสภาวะ เกิดมานี่ถึงที่สุดแล้วปลายทางต้องตาย สิ่งที่ต้องตาย แต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเห็นสภาวะของกิเลสมันตายออกไปจากใจ มันเข้าใจตั้งแต่ตอนนั้น

เห็นไหม ความตายนี้ หลวงปู่มั่นเวลาใกล้จะตายให้พาไปนะ ให้หามออกมาวัดป่าสุธาวาส แล้วพยายามจะนอนสีหไสยาสน์ จะตายแบบพระพุทธเจ้าเลย แต่มันทำไม่ได้ เห็นไหม นอนตายให้ดูนะ ความตายนี้เป็นของหลอกกัน เป็นความเปลี่ยนสภาวะเท่านั้น ใจมันไม่ตื่น มันไม่ตื่นเต้นไปกับสิ่งนั้น เพราะมันเห็นกิเลสตายออกไปจากใจ มันพอกันเสียที อย่างเรานี้นะ เราบำรุงบำเรอมันเพื่อธาตุขันธ์เพื่อจะให้มันอยู่ในอำนาจของเรา เพื่อจะให้มีความสุข เพื่อประพฤติปฏิบัติ เพื่อเอาสิ่งนี้เป็นเครื่องมือ เห็นไหม

ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ มันเพื่อการวิปัสสนา เพื่อจะให้เห็นใจให้ใจมันปล่อยวางไป แต่พระอรหันต์ปล่อยวางสิ่งนั้นแล้ว ธาตุกับขันธ์ ธาตุขันธ์นี้เป็น ภารา หะเว ปญฺจกฺขนฺธา เป็นภาระอย่างยิ่ง อยากจะสละทิ้งไป เห็นไหม ความสิ้นไปของพระอรหันต์ ความมีชีวิตอยู่กับความตายมีค่าเท่ากันเพราะมันเสมอกัน จะตายก็ได้ จะอยู่ก็ได้ ไม่สำคัญเลย ใจมันปล่อยวางหมดแล้ว ถึงมันจะปล่อยวางโดยธรรมชาติของมัน มันไม่สนใจสิ่งนั้น มันจะหลุดออกไป

มันถึงว่าพอกันเสียที ธาตุขันธ์นี้ปล่อยจิตมันจะหลุดออกไป มันเป็นธรรมชาติของมัน มันถึงไม่มีการหวั่นไหวในการเกิดและการตาย ถ้าเราการเกิดและการตายยังมีหวั่นไหว เอาตรงนี้เป็นมรณานุสตินะ คิดถึงความตาย.. คิดถึงความตาย..ให้ใจมันอยู่กับเรา อย่าให้มันคิดออกไป เหมือนกับอยู่ในป่า เวลาเข้าไปอยู่ในป่าสิ่งแวดล้อมมันบังคับ มันจะกลัวมาก กลางคืนมันจะวิตกวิจารณ์ จะคิดมาก

อันนี้ก็เหมือนกัน คิดถึงความตาย..คิดถึงความตาย.. กิเลสมันจะสลดสังเวชไง กิเลสในใจที่มันเคยเจริญงอกงาม เคยมีอำนาจของมัน มันจะเริ่มหดตัวลงเพราะว่าถึงที่ตายแล้วมันก็กลัวตายเหมือนกัน แต่ถ้าประพฤติปฏิบัติธรรมนะ เวลามันจะเอาชนะกิเลสนี่ มันก็เอาตายนี้มาหลอกเรา หลอกว่าเราจะต้องตาย เราต้องตาย นี่เวลาความตายมรณานุสติ ถ้าเราตั้งสติ เราพิจารณา มันเป็นประโยชน์ต่อเรา แต่เวลาเราพิจารณา เราเพลินไป มันก็เอาความตายนี้มาหลอกเราเหมือนกัน เราเอาความตายนี้ข่มมัน มันก็เอาความตายหลอกเรา ถ้าเราติดพันถึงเวลาธรรมะนี้อยู่ฟากตาย ถ้ามันจะตาย ตรงไหนมันจะตาย เรายอมตาย เอ้า ตายให้มันตายก่อน มันไม่ตายหรอก

เราอยู่ที่ธาตุรู้ เห็นไหม เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันเกาะเกี่ยวกับสิ่งใด มันจะย้อนออกไปตรงนั้น ถ้าย้อนกลับไปตรงนั้นอารมณ์มันจะเกาะเกี่ยวแล้วมันจะมีความวิตกวิจารณ์ เห็นไหม เรากลับมาที่ธาตุรู้ กลับมาที่รู้ กำหนดรู้ไว้ตลอดเวลา อะไรจะเกิดขึ้นเป็นมายาทั้งหมด ขันธ์ ๕ เป็นมายา เห็นไหม ขันธ์ ๕ ความรู้สึก วิญญาณ สังขาร ปรุงแต่งมันเป็นวิญญาณทั้งหมด เรากำหนดพุทโธๆๆ เข้ามาที่ธาตุรู้ อยู่กับผู้รู้แล้วอะไรมันตาย ไม่มีหรอก มันหลอก เห็นไหม เวลาภาวนาขึ้นมานี่มันจะเป็นอย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้ สังขารมันปรุงมันแต่ง

ถ้าเรากลับมาที่ผู้รู้ ถ้าอยู่กับผู้รู้ เห็นไหม กำหนดผู้รู้ไว้ อันอื่นเกิดขึ้นเกิดดับทั้งหมด ถ้าผู้รู้อยู่ไม่มีตาย เกิดตายก็หลอก อะไรก็หลอก ถ้ามันตายคือมันตายจริงๆ ผู้รู้มันต้องดับ ผู้รู้นี้ออกจากร่างไง ดับทั้งหมดแล้วออกจากร่าง มันถึงว่าความรู้สึก เห็นไหม รูป เวทนา สังขาร สัญญา ความเป็นสัญญามันเป็นความรู้สึก มันเป็นขันธ์ ๕ ออกมากับตัวจิต จิตปฏิสนธิจิตมันถึงจะอยู่ตรงนี้ไง เวลามันดับดับตรงนี้ แต่ดับจากขันธ์ ๕ ดับจากความรู้สึกเรา มันรู้ตัวมันเองมันก็ออกจากร่าง ออกไปเสวยภพใหม่ ออกไปเสวยชาติใหม่ เกิดใหม่ตลอดไป นี่เกิดใหม่ตลอดไป

แต่ถ้าเรามันดับตรงนี้ เรากลับมาที่ผู้รู้ มันเห็นผู้รู้อยู่ อย่างอื่นดับหมด ผู้รู้เด่น เด่น ขึ้นมานี่สัมมาสมาธิ ผู้รู้จะเด่นมาก อยู่กับผู้รู้อย่างอื่นดับหมด ทีแรกมันหลอกเรา หลอกเราเราไม่กล้าทิ้งเราก็ติดพันไปกับมัน แต่พอเราทิ้งมันมาให้หมด อยู่ที่ผู้รู้อะไรจะเกิดช่างหัวมัน โลกฟ้าดินถล่ม ไม่สนใจ อยู่กับผู้รู้ตลอดไปนี่ ตรงนี้เด่นขึ้นมาๆ เป็นสัมมาสมาธิ ยกขึ้นวิปัสสนาได้ ทำลายฐีติจิต จิตอยู่ตรงนี้ไง

ในประวัติในมุตโตทัย เห็นไหม อวิชชาเกิดจากฐีติจิต จิตตรงนี้อวิชชามันเกิดขึ้น ความไม่รู้จักเกิดอย่างนี้แล้วพุ่งออกไป ทุกอย่างมันมีต้องมีที่เกิด แล้วอวิชชาเกิดมาจากไหน? เกิดมาจากพลังงานที่ไม่รู้ มันก็เป็นอวิชาออกมา เป็นปัจจยาการออกไปเกาะเกี่ยวธาตุขันธ์แล้วหมุนออกไป แล้วเราก็ตื่นอยู่อย่างนี้ ถ้าเรามาศึกษาตรงนี้จบ เห็นไหม

โรคภัยไข้เจ็บมันเป็นธรรมดาของร่างกาย ร่างกายนี้ต้องมีโรคภัยไข้เจ็บเป็นธรรมดา แล้วดูมัน แล้วรักษามัน ไม่ตื่นไปกับมัน โรคภัยไข้เจ็บนี้เป็นหน้าที่ของหมอ หมอรักษาไป แล้วเรารักษาใจเรา ไม่ตื่นเต้นไปกับมัน เข้าใจสิ่งมันแล้ววางมันไว้..วางมันไว้..

ถึงที่สุดแล้วใจนี้เป็นอิสระ ทุกคนต้องเป็นไปตามธรรมชาติอย่างนี้ ต้องเป็นอย่างนี้ไปตลอดไป แต่ใครจะได้ประโยชน์จากการวิปัสสนา การใคร่ครวญมัน แล้วได้มรรค ได้ผล ได้หลักใจของใจ เป็นประโยชน์กับใจดวงนั้น ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็ต้องเวียนตายเวียนเกิด

น้ำตานองหน้ามาทุกภพทุกชาติ เก็บไว้เท่ากับน้ำทะเลก็ไม่เท่ากับภพชาติที่เกิดขึ้น อย่างที่ว่านั่นน่ะ นี่นั่งบนกองกระดูก ตายบนกองกระดูก ไม่มีต้นไม่มีปลาย การเกิดและการตาย จนปัจจุบันนี้มีสติมีสัมปชัญญะ พบพระพุทธศาสนา ได้สร้างบุญกุศลแล้วแบกบุญกุศลนี้ไปกับใจเรา ให้เกิดดีไปเรื่อยๆ ถึงที่สุดแล้วพ้นจากทุกข์ไป เอวัง